วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทที่ 5 - สรุปการดำเนินงานวิจัย อภิปรายผลการดำเนินการงานวิจัย


        งานวิจัย ปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
พะเยาพิทยาคม ประกอบด้วย
        1) สรุปผลการดำเนินงานการวิจัย
        2) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
        3)ผลวิเคราะห์สถานภาพทางครอบครัว

สรุปผลการวิจัย ปรากฏดังนี้

        งานวิจัยศึกษาปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 พะเยาพิทยาคม ผู้จัดทำงานวิจัยมีวัตถุประสงค์
        1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
        2. เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีสถานภาพต่างกันในด้าน เพศของนักเรียน รายได้ และอาชีพของผู้ปกครองต่อการ  เลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษ
        3. เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการเลือกเข้ามหาวิทยาลัย

        ซึ่งในการศึกษาหาผู้วิจัยได้เลือกกลุ่มตัวอย่างที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม เลือกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน30 ชุด และ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D สามารถสรุปได้ดังนี้

        ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม มีทั้งหมด 30คน คิดเป็นร้อยละ 100 เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 40 จำนวน 12 คน เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60 จำนวน 18 คน

        ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์มหาวิทยาลัยที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาต้องการเข้ามากที่สุด พบว่า ของกลุ่มตัวอย่าง มหาวิทยาลัยที่อยากเข้ามากที่สุด คือ  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คิดเป็นร้อยละ 43.33 จำนวน 13คน รองลงมาคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดเป็นร้อยละ 30.00 จำนวน 9 คน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 10.00 จำนวน 3 คน มหาวิทยาลัยราชภัฏต่างๆ คิดเป็นร้อยละ 6.67 จำนวน 2 คน มหาวิทยาลัยมหิดล คิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน มหาวิทยาลัยศิลปากร คิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน และมหาวิทยาลัยนเรศวร คิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน ตามลำดับ

        อภิปรายปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 พะเยาโรงเรียนพิทยาคม พบว่า ระดับปัจจัย ของกลุ่มตัวอย่างที่เลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษามากที่สุดคือ ด้านคิดเห็นของนักเรียนต่อมหาวิทยาลัย มีค่าเฉลี่ย ( = 4.41) รองลงมาคือ ด้านความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยต่อผู้เข้าศึกษา มีค่าเฉลี่ย (= 4.45)

        ตอนที่ 3 ผลวิเคราะห์สถานภาพทางครอบครัวพบว่า 

        1. ด้านสถานภาพครอบครัว พบว่า บิดา-มารดาอยู่ด้วยกัน คิดเป็นร้อยละ80 จำนวน 24 คน บิดา-มารดาหย่าร้าง คิดเป็นร้อยละ 10.00 จำนวน 3 คน และบิดา-มารดาคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต หรือทั้งคู่ คิดเป็นร้อยละ 10.00 จำนวน 3 คน 

        2. รายได้หลักของครอบครัวพบว่า มีรายได้หลักมาจากบิดามารดามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60.00 จำนวน 18 คน รองลงมาคือ หัวหน้าครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 20.00 จำนวน 6 คน สามี/ภรรยา คิดเป็น 16.67 จำนวน 5 คน และ ลุง/ป้า/น้า/อา คิดเป็นร้อยละ3.33 จำนวน 1 คน

        3. ความเพียงพอของรายได้สำหรับรายจ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของครอบครัว แบ่ง3ข้อ พบว่า คือ 
                3.1 ด้านตามครอบครัวของท่านมีรายได้เป็นอย่างไร พบว่า  รายรับ-รายจ่ายพอๆกัน มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 76.67 จำนวน 23 คน รายรับน้อยกว่ารายจ่าย คิดเป็นร้อยละ 16.67 จำนวน 5 คน และรายรับมากกว่ารายจ่ายคิดเป็นร้อยละ 6.67 จำนวน 2 คน
                3.2 ด้านหนี้สินของครอบครัว พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีหนี้สินระดับปานกลางมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63.33 จำนวน 19 คน รองลงมาคือ มีน้อยคิดเป็นร้อยละ 20 จำนวน 6 คน มีมากคิดเป็นร้อยละ 13.33 จำนวน 4 คน และไม่มีคิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน
                3.3 ด้านเงินออมของครอบครัว พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีเงินออมอยู่ในระดับปานกลางมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 70.00 จำนวน 21 คน รองลงมาคือ มีน้อยคิดเป็นร้อยละ 30.00 จำนวน 9 คน

        4. ด้านรายได้ของผู้ปกครองเฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีรายได้ของผู้ปกครองเฉลี่ยต่อเดือน 10000-20000 บาท มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 26.67 จำนวน 8 คน รองลงมาคือ 5000-10000 บาทและ มากกว่า 30000บาท คิดเป็นร้อยละ23.33 จำนวน 7 คน และ น้อยกว่า 5000 บาท คิดเป็นร้อยละ 13.33 จำนวน 4 คน

อภิปรายผลการดำเนินการงานวิจัย

ตอนที่ 1 ปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล

        แสดงปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนพะเยาพิทยาคม ผู้วิจัยสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 40 จำนวน 12 คน เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60 จำนวน 18 คน
        เมื่อจำแนกตามอายุพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีอายุ 16 ปี ร้อยละ 23.33 จำนวน 7 คน อายุ 17 ปี คิดเป็นร้อยละ 73.33 จำนวน 22 คน อายุ18 ปี คิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน
เมื่อจำแนกตามการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม อยู่ในระดับชันมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนกการเรียน วิทย์-คณิต คิดเป็นร้อยละ 100 จำนวน 30 คน
        เมื่อจำแนกตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีผลการเรียนอยู่ที่ 2.00-2.99 คิดเป็นร้อยละ 13.33 จำนวน 4 คน  3.00-4.00 คิดเป็นร้อยละ 86.67 จำนวน 26 คน

ตอนที่ 2 ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการศึกษาต่อมหาวิทยาลัย

        เมื่อทำการพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า มหาวิทยาลัยที่ต้องการเข้ามากที่สุด คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คิดเป็นร้อยละ 43.33 จำนวน 13คน รองลงมาคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดเป็นร้อยละ 30.00 จำนวน 9 คน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 10.00 จำนวน 3 คน มหาวิทยาลัยราชภัฏต่างๆ คิดเป็นร้อยละ 6.67 จำนวน 2 คน มหาวิทยาลัยมหิดล คิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน มหาวิทยาลัยศิลปากร คิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน และมหาวิทยาลัยนเรศวร คิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน ตามลำดับ
        ด้านคิดเห็นของนักเรียนต่อมหาวิทยาลัย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (= 4.41) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อมหาวิทยาลัยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ 3. รู้สึกภูมิใจที่ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และ 5. ข้าพเจ้าต้องการเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ ค่าเฉลี่ย(= 4.70) รองลงมาคือข้อ4. กล่าวถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีค่าเฉลี่ย(=4.33) และข้อ1. พอใจกับหลักสูตรของมหาวิทยาลัย และข้อ2. จบมาแล้วมีงานมารองรับ มีค่าเฉลี่ยระดับปานกลาง (= 4.16) ตามลำดับ

        ด้านความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยต่อผู้เข้าศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 
(= 4.45) เมื่อทำการพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยระดับมากที่สุดคือข้อ 2. คุณภาพทางการศึกษา มีค่าเฉลี่ย (= 4.56) รองลงมาคือข้อ 
1. ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย และ ข้อ3. มหาวิทยาลัยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสังคม มีค่าเฉลี่ย 
(= 4.50) ระดับปานกลางคือ ข้อ5. มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่สร้างชื่อเสียงให้แก่สังคม มีค่าเฉลี่ย (= 4.46) และในข้อ 4. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีความรู้ ความสามารถที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและข้อ 6. หลักสูตรที่เปิดสอนมีความเหมาะสมและน่าสนใจ มีค่าเฉลี่ยน้อย (= 4.36) ตามลำดับ

ตอนที่ 3 ผลวิเคราะห์สถานภาพทางครอบครัวพบว่า 

        ด้านสถานภาพครอบครัว พบว่า บิดา-มารดาอยู่ด้วยกัน คิดเป็นร้อยละ80 จำนวน 24 คน บิดา-มารดาหย่าร้าง คิดเป็นร้อยละ 10.00 จำนวน 3 คน และบิดา-มารดาคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต หรือทั้งคู่ คิดเป็นร้อยละ 10.00 จำนวน 3 คน 

        ด้านรายได้หลักของครอบครัวพบว่า มีรายได้หลักมาจากบิดามารดามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60.00 จำนวน 18 คน รองลงมาคือ หัวหน้าครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 20.00 จำนวน 6 คน สามี/ภรรยา คิดเป็น 16.67 จำนวน 5 คน และ ลุง/ป้า/น้า/อา คิดเป็นร้อยละ3.33 จำนวน 1 คน

        ด้านความเพียงพอของรายได้สำหรับรายจ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของครอบครัว แบ่ง3ข้อ พบว่า คือ 
                1.ด้านตามครอบครัวของท่านมีรายได้เป็นอย่างไร พบว่า  รายรับ-รายจ่ายพอๆกัน มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 76.67 จำนวน 23 คน รายรับน้อยกว่ารายจ่าย คิดเป็นร้อยละ 16.67 จำนวน 5 คน และรายรับมากกว่ารายจ่ายคิดเป็นร้อยละ 6.67 จำนวน 2 คน
                2.ด้านหนี้สินของครอบครัว พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีหนี้สินระดับปานกลางมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63.33 จำนวน 19 คน รองลงมาคือ มีน้อยคิดเป็นร้อยละ 20 จำนวน 6 คน มีมากคิดเป็นร้อยละ 13.33 จำนวน 4 คน และไม่มีคิดเป็นร้อยละ 3.33 จำนวน 1 คน
                3.ด้านเงินออมของครอบครัว พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีเงินออมอยู่ในระดับปานกลางมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 70.00 จำนวน 21 คน รองลงมาคือ มีน้อยคิดเป็นร้อยละ 30.00 จำนวน 9 คน

  ด้านรายได้ของผู้ปกครองเฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีรายได้ของผู้ปกครองเฉลี่ยต่อเดือน 10000-20000 บาท มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 26.67 จำนวน 8 คน รองลงมาคือ 5000-10000 บาทและ มากกว่า 30000บาท คิดเป็นร้อยละ23.33 จำนวน 7 คน และ น้อยกว่า 5000 บาท คิดเป็นร้อยละ 13.33 จำนวน 4 คน


        ข้อเสนอแนะ
        1. ควรจะเพิ่มระยะในการทำวิจัยให้มากกว่านี้
        2. การทำวิจัยควรทำอย่างต่อเนื่อง
        3. ในการทำวิจัยควรจะมีการวางแผนให้มากกว่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น